โรคเอดส์สาเหตุ

โรคเอดส์สาเหตุ ในอดีตโรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง ทำให้ทั่วโลกต้องหวาดกลัว เพราะยังไม่มีหนทางในการรักษา และทำให้เสียชีวิตลงอย่างง่ายดาย ด้วยอาการของโรคที่น่ากลัว มีตุ่มพุพองทั่วร่างกาย หากใครป่วยด้วยโรคนี้ มักจะเป็นที่รังเกียจในสังคมอย่างยิ่ง และถูกตราหน้าว่ามักมากในกาม มีเซ็กส์ไปมั่ว จนทำให้ต้องติดเชื้อ

แต่ในปัจจุบันโลกได้วิวัฒนาการ ล้ำหน้าไปไกล ทำให้มีการวิจัยค้นคว้ามากขึ้นเกี่ยวกับ โรคเอดส์ ซึ่งทำให้ทุกคนนั้น มีความเข้าใจกับโรคนี้ และกล้าที่จะเปิดใจยอมรับ ผู้ป่วยมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งโรคเอดส์นั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

สาเหตุของโรคเอดส์
โรคเอดส์สาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคนี้มีการสันนิษฐานว่ามาจากลิงในแถบทวีปแอฟริกา  ทวีปแอฟริกาเป็นที่แรกที่ค้นพบเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งค้นพบมานานแล้วมากว่า 70 ปี และต่อมาเชื้อเอชไอวีได้วิวัฒน์มาสู่คน

ที่จริง แล้วไวรัสเอชไอวีมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสามารถติดต่อกันได้ง่าย มีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ เอชไอวี-1 และเอชไอวี-2 ที่เป็นอันตรายและติดต่อง่าย พบทั่วโลกจะเป็น เอชไอวี-1

เอดส์ ไม่เท่ากับ เอชไอวี ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ หากเข้ารับการรักษา ทานยาสม่ำเสมอ พบแพทย์ติดตามอาการ ในขณะที่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีบางคน ไม่เข้ารับการรักษาจนทำให้เชื้อ พัฒนาเจริญเติบโตทำลายระบบภูมิคุ้มกัน เข้าสู่สภาวะเอดส์ และทำให้เสียชีวิตในที่สุด เอดส์ จึงเป็นชื่อเรียกระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี

ส่วนใดของมนุษย์ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่มาก
ส่วนที่มีเชื้อไวรัสเอชไอวีมากที่สุด คือ เลือด น้ำเหลือง รองลงมาคือ น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด และที่คนเรามักกลัวกัน คือ น้ำลาย เสมหะ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ ซึ่งส่วนเหล่านี้มีเชื้ออยู่น้อยมากๆ การจูบกันจึงไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ เว้นแต่ว่าฝ่ายผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีได้จูบกับผู้ที่มีแผลในปาก หรือการออรัลส์เซ็กแล้วการหลั่งใส่ผู้ที่มีแผลในปาก โอกาสที่ฝ่ายที่มีแผลจะติดเชื้อนั้นก็สามารถที่จะเป็นไปได้

โรคเอดส์ติดต่อได้ผ่าน 2 ช่องทางใหญ่ๆ คือ
1. การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกันไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม
2. การติดเชื้อผ่านทางการรับเลือด ไม่ว่าจะเป็น จากแม่สู่ลูก หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้ที่เสพสารเสพติดแบบฉีดเข้าเส้นเลือด

วิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
1. ป้องกันทุกครั้งที่จะมีเพศสัมพันธ์
2. ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ หรือมีคู่นอนเพียงคนเดียว
3. ก่อนสมรส หรือวางแผนที่จะมีบุตร ให้ทำการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดให้เรียบร้อย
4. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้ที่เสพสารเสพติดผ่านทางการฉีดเข้าเส้นเลือด (ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดดีที่สุด)

ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีควรปฏิบัติตนอย่างไรบ้างในชีวิตประจำวัน
1. เราสามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ สามารถคบหาเพื่อนๆ คนรอบข้างได้ สามารถแตะเนื้อต้องตัว ทักทายกัน พูดคุยกันได้ปกติ ไม่ทำให้ติดเชื้อ
2. สามารถใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่นได้ปกติ โดยที่ควรระมัดระวังมิให้สารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำเหลือง น้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งขับถ่ายต่าง ๆ รวมถึงผู้หญิงที่มีประจำเดือน ทั้งหมดนี้ต้องระวังไม่ให้กระเด็น หรือเลอะโถส้วม อ่างล้างมือ ต้องคำนึงถึงผู้อื่นที่ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ไม่ให้เขาได้รับความเสี่ยงเหล่านี้
3. ล้างอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารต่างๆ ให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็น แก้วน้ำ ชาม ช้อน ส้อม และอื่นๆ เมื่อทำความสะอาดแล้ว ก็ปล่อยทิ้งให้แห้งก่อนนำไปใช้
4. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัว โดยเฉพาะของมีคมร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
5. หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ ต้องสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
6. งดการบริจาคเลือด บริจาคอวัยวะโดยเด็ดขาด เช่น ดวงตา ไต น้ำอสุจิ เป็นต้น
7. ควรพบแพทย์ อย่างสม่ำเสมอ ปรึกษาอาการของโรค ปรึกษาทางใจ อย่างใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำ ของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สำหรับท่านใด ที่กำลังกังวล ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีไปแล้วหรือไม่ ทางที่ดีที่สุด ที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้ คือ การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ไม่ต้องเขินอาย เพราะสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และคนรอบข้างเราได้ หากพบว่า เลือดบวก ก็สามารถเริ่มรักษาได้ทันที บอกกล่าวคนในครอบครัว ให้เตรียมพร้อมรับมือ หากแต่งงาน หรือมีแฟนแล้ว แนะนำให้พามาตรวจด้วย หากพบว่าเลือดลบ จะทำให้สบายใจมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันนี้เราสามารถ ตรวจเอชไอวีได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลรัฐ เพียงมีบัตรประชาชน หรือ อีกทางเลือกหนึ่ง คือ ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตัวเอง โดยให้เลือกซื้อที่มีเลขอย.ไทย จะดีที่สุด