ตรวจเอดส์ ไม่เจอ

ตรวจเอดส์ ไม่เจอ เกิดขึ้นจากอะไร สำหรับผู้ที่เคย ได้รับการตรวจเอชไอวีทั้งที่โรงพยาบาล สถานที่พยาบาล และตรวจด้วยตัวเอง คงมีคำถามในใจแล้วว่า ตรวจเอชไอวีแล้ว ไม่เจอเนี่ย จริงหรือเปล่า ชัวร์แน่ๆ ใช่ไหม ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันว่าการตรวจเอดส์/เอชไอวี ไม่เจอ เกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง

การแปลผลตรวจเอชไอวี

– ผลลบ หรือ Negative, Non-reactive หมายถึง ไม่พบเชื้อเอชไอวี ตรวจไม่เจอ สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติ ติดเชื้อเอชไอวี หรือ ตรวจไม่เจอ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Undetectable สำหรับผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัสมานาน จนตรวจไม่เจอเชื้อ คือ เชื้อมีปริมาณน้อยกว่าที่จะสามารถตรวจพบได้

– ผลบวก หรือ Positive, Reactive, Detectable หมายถึง ตรวจพบเชื้อเอชไอวี หากเป็นชุดตรวจกรองจะหมายถึงมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี ให้รีบตรวจยืนยัน

– ผลตรวจไม่แสดงผล หรือ Invalid Result หมายถึง ไม่แสดงผล การตรวจผิดพลาด ซึ่งอาจจะเกิดจากขึ้นตอนการตรวจที่ผิด

ตรวจเอดส์ ไม่เจอ เป็นเพราะอะไร

เอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถส่งต่อ หรือแพร่เชื้อจากคนหนึ่ง ไปสู่อีกคนหนึ่งที่ยังไม่ติดเชื้อ ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ หรือใช้เข็มฉีดยาไม่ว่าจะกรณีใดๆ ร่วมกับผู้อื่น เชื้อเอชไอวีจะอยู่ในเลือด น้ำหล่อลื่น สารคัดหลั่งที่อยู่ในช่องคลอด ทวารหนัก หรือในน้ำกาม

ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า การที่จะสามารถแพร่เชื้อได้นั้น จะต้องมีปริมาณของเชื้อไวรัสมากพอสมควร โดยเกณฑ์ที่ใช้เทียบเคียง คือ ต้องมีปริมาณไวรัสในเลือดตั้งแต่ 200 – 1,000 copies/ซีซีของเลือด จึงจะสามารถแพร่เชื้อได้ และชุดตรวจเอชไอวีในปัจจุบัน สามารถตรวจได้ต่ำสุดตั้งแต่ 20-50 copies/ซีซีของเลือด

1. กรณีตรวจเอชไอวี ไม่พบเชื้อ เพราะตรวจเร็วเกินไป ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงมา บางบุคคลอาจจะใจร้อน รีบตรวจเกินไป ซึ่งการตรวจเอชไอวีที่ดีนั้น จะมีระยะเวลา และวิธีที่เหมาะสม ต่อเวลาที่ได้รับความเสี่ยงมา วิธีที่ตรวจได้ไวที่สุด คือ การตรวจ NAT ซึ่งต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล และราคาอาจจะสูงสักหน่อย การตรวจเอชไอวีด้วยวิธีอื่น ๆ นั้น อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหลังจากได้รับความเสี่ยง ถึงจะค่อนข้างน่าเชื่อถือ สำหรับการตรวจรอบแรก การตรวจเอชไอวีรอบแรกหากตรวจไม่พบ ก็ควรจะตรวจซ้ำอีกครั้งที่ทุกๆ 30 วัน เป็นเวลา 3 เดือน หากไม่พบเชื้อถึงจะสามารถปิดเคสได้

2. กรณีตรวจเอชไอวี ไม่พบเชื้อ เนื่องจากรับประทานยาต้านไวรัส ผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ วัน มานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป อาจจะตรวจไม่เจอเชื้อ (undetectable) เพราะปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดต่ำกว่า 50 coppies / ซีซีของเลือด ชุดทดสอบจึงตรวจไม่เจอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เชื้อหมดจากร่างกายแล้ว เพียงแต่ทานยาต้านไวรัสต่อเนื่อง แต่หากหยุดทานยา เชื้อก็จะเพิ่มขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

• ผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัส มานานจนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในเลือด ซึ่งในทางการแพทย์จะเรียกกระบวนการนี้ว่า U=U (Undetectable = Untransmittable) โดย U ตัวแรก คือ Undetectable (ตรวจไม่พบ) ส่วน U ตัวที่สองมาจาก Untransmittable (ไม่ถ่ายทอด) ดังนั้น ตรวจไม่เจอ จึงไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

• จากการศึกษาทั่วโลกพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอจนตรวจไม่พบเชื้อ และได้มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนของตนเองเพียงคนเดียวแบบไม่สวมถุงยางอนามัย โดยที่ผู้ติดเชื้อยังคงทานยาต้านไวรัสอยู่เสมอ ซึ่งพบว่า ไม่มีใครติดเชื้อจากคู่ของเขาเลย แต่ทั้งนี้ยังคงพบว่าคู่มีนอนติดเชื้อ โดยสามารถพิสูจน์ได้ว่า ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ทราบผลเลือด

• อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีแต่รับประทานยาจนตรวจไม่พบ ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียวแบบไม่สวมถุงยางอนามัยก็สามารถทำได้ แต่ต้องทานยาต่อเนื่องในทุกวัน และควรได้รับคำแนะนำ คำอนุญาตจากแพทย์ก่อน ทั้งนี้การจะไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น ควรจะบอกเขาก่อนว่าเราอยู่ในสถานการณ์ไหนของโรค และควรได้รับความยินยอม

 

การไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ตามไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เนื่องจากผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไม่ทราบว่าใครติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ บางครั้งก็รับเชื้อมาแล้ว แต่ไม่ทราบว่าตนเองนั้นติดเชื้อ และได้แพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงอยากที่จะสนับสนุนให้ทุกคนสวมใส่ถุงยางอนามัย และสนับสนุนให้ตรวจเอชไอวี โดยจะตรวจที่สถานพยาบาล หรือตรวจโดยชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง ซึ่งต้องเลือกซื้อชุดตรวจที่ผ่านมาตรฐานอย.ไทย

       การสวมใส่ถุงยางอนามัยยังคงมีความจำเป็นอยู่ต่อการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ก็ตาม เพราะถุงยางอนามัยสามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้